มาตรฐานการก่อสร้างระดับสูง ของ The MIXX สุขุมวิท-แพรกษา

การเลือกใช้ ระบบพื้น Post-Tension ในโครงการ The MIXX สุขุมวิท-แพรกษา ทำให้โฮมออฟฟิศมีคุณสมบัติและประโยชน์ที่โดดเด่นกว่าระบบการก่อสร้างทั่วไป โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับระบบพื้นคอนกรีตเสริมเหล็กหรือระบบอื่นๆ ข้อดีของระบบ Post-Tension มีดังนี้:

  1. ขยายพื้นที่การใช้งานได้กว้างขึ้น
    • ด้วยโครงสร้างพื้น Post-Tension สามารถ เชื่อมต่อระหว่าง Span อาคารแต่ละหลัง ได้ ซึ่งทำให้การขยายพื้นที่การใช้งาน Office ทำได้ง่ายและไม่จำเป็นต้องเพิ่มคานใหญ่ ส่งผลให้มีพื้นที่กว้างขวางสำหรับการใช้งานมากขึ้น และยังสามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานภายในอาคารได้ตามความต้องการของผู้ใช้งาน
  2. ความยืดหยุ่นในการออกแบบ
    • การใช้ระบบพื้น Post-Tension ทำให้การออกแบบพื้นที่ โฮมออฟฟิศ มีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันการใช้งานได้ตามความต้องการของเจ้าของ ไม่ว่าจะต้องการพื้นที่ใหญ่ขึ้นหรือจัดแบ่งห้องสำหรับธุรกิจต่างๆ เช่น สำนักงาน, คลินิก หรือสตูดิโอ
  3. ลดจำนวนเสาและคานในอาคาร
    • ระบบ Post-Tension ช่วยให้สามารถ ลดจำนวนเสาและคาน ในอาคารได้มาก ทำให้พื้นที่ภายในอาคารดูโปร่งโล่งกว่า โดยเฉพาะในห้องที่ต้องการพื้นที่แบบเปิดกว้าง เช่น โถงออฟฟิศขนาดใหญ่ หรือพื้นที่ทำงานที่ต้องการความต่อเนื่องในการใช้งาน
  4. ทนทานและลดการแตกร้าวของพื้น
    • พื้นที่ใช้ระบบ Post-Tension จะมีความ ทนทานต่อการแตกร้าว มากกว่า เนื่องจากแรงดึงที่เกิดจากการยึดรัดของเหล็กในระบบ Post-Tension ช่วยลดการหดตัวและแตกร้าวของคอนกรีต ทำให้โครงสร้างมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้นและไม่ต้องซ่อมแซมบ่อย
  5. เหมาะกับการใช้งานในอาคารขนาดใหญ่
    • ด้วยคุณสมบัติของระบบ Post-Tension ที่สามารถรับน้ำหนักได้มาก จึงเหมาะสำหรับการใช้งานใน อาคารขนาดใหญ่ หรืออาคารที่ต้องรองรับการทำงานของหลายธุรกิจในอาคารเดียวกัน ซึ่งทำให้ The MIXX สุขุมวิท-แพรกษา รองรับความต้องการของลูกค้าได้หลากหลาย

สรุปข้อดีของระบบ Post-Tension

  • ช่วยขยายพื้นที่การใช้งานได้กว้างขึ้น
  • ยืดหยุ่นในการออกแบบพื้นที่และฟังก์ชันการใช้งาน
  • ลดจำนวนเสาและคาน ทำให้พื้นที่ภายในดูโปร่งโล่ง
  • ประหยัดวัสดุก่อสร้างและน้ำหนักอาคาร
  • ทนทานและลดการแตกร้าว
  • เหมาะสำหรับอาคารขนาดใหญ่และรองรับการใช้งานหลายธุรกิจ

ระบบ Post-Tension ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พื้นที่และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการ The MIXX สุขุมวิท-แพรกษา ทำให้โฮมออฟฟิศในโครงการนี้ตอบโจทย์ทั้งด้านฟังก์ชันการใช้งานและความคุ้มค่าในการลงทุน.

เรื่องความปลอดภัยของระบบพื้น Post-Tension เมื่อเทียบกับระบบโครงสร้างอื่นๆ เช่น Precast และ Conventional (ก่ออิฐ)

ระบบพื้น Post-Tension ที่ใช้ในโครงการ The MIXX สุขุมวิท-แพรกษา มีข้อดีด้านความปลอดภัยที่โดดเด่นกว่าระบบโครงสร้างอื่นๆ เมื่อเทียบกับระบบ Precast และ Conventional (ก่ออิฐ) ดังนี้:

1. ความแข็งแรงและการรองรับน้ำหนัก

  • Post-Tension: โครงสร้าง Post-Tension สามารถรับน้ำหนักได้มากกว่าระบบโครงสร้างอื่น เนื่องจากการดึงแรงลวดภายในพื้นช่วยเสริมความแข็งแรงให้โครงสร้าง ทำให้ทนต่อการรับแรงและน้ำหนักที่กระจายอยู่ทั่วพื้นที่ได้ดีขึ้น เหมาะสำหรับการใช้ในอาคารที่ต้องรองรับน้ำหนักมากหรือมีพื้นที่เปิดกว้าง เช่น โฮมออฟฟิศที่ต้องมีการทำงานหลากหลายฟังก์ชัน
  • Precast: โครงสร้าง Precast มีความแข็งแรงสูง แต่ต้องอาศัยการต่อเชื่อมระหว่างแผ่นคอนกรีตต่างๆ ซึ่งหากมีความผิดพลาดในการติดตั้ง อาจส่งผลต่อความแข็งแรงของโครงสร้างในระยะยาว
  • Conventional (ก่ออิฐ): โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กแบบดั้งเดิม (ก่ออิฐ) มีความแข็งแรงน้อยกว่า และไม่สามารถรองรับพื้นที่กว้างขวางได้เท่ากับระบบ Post-Tension การก่อสร้างในรูปแบบนี้ยังใช้เสาและคานมากกว่า ทำให้พื้นที่การใช้งานมีข้อจำกัดและความยืดหยุ่นน้อยลง

2. ความยืดหยุ่นในการออกแบบ

  • Post-Tension: ระบบ Post-Tension ทำให้สามารถสร้างพื้นที่เปิดกว้างโดยไม่ต้องใช้เสาหรือคานมากเท่ากับระบบก่อสร้างอื่นๆ ส่งผลให้การออกแบบภายในมีความยืดหยุ่นมากกว่า ทำให้ลดจุดที่เสี่ยงต่อการทรุดหรือเสียหายจากการใช้โครงสร้างที่ไม่เท่ากัน
  • Precast: การติดตั้ง Precast ต้องการความแม่นยำสูง และมีข้อจำกัดด้านการออกแบบ เพราะโครงสร้างต้องอิงตามขนาดของแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปที่ผลิตมาแล้ว ซึ่งอาจไม่ยืดหยุ่นเท่าระบบ Post-Tension
  • Conventional (ก่ออิฐ): การใช้ระบบก่ออิฐแม้จะมีความแข็งแรง แต่การออกแบบต้องอาศัยเสาและคานมาก จึงมีข้อจำกัดเรื่องการสร้างพื้นที่โล่ง ทำให้พื้นที่ภายในไม่โปร่งเท่ากับระบบ Post-Tension และมีความเสี่ยงเรื่องการแตกร้าวตามแนวเสาและคานได้ง่ายกว่า

3. ความปลอดภัยในระยะยาว

  • Post-Tension: เนื่องจากระบบพื้น Post-Tension มีความยืดหยุ่นสูงในการรับน้ำหนักและแรงกระแทก ทำให้มีอายุการใช้งานยาวนานกว่า อีกทั้งยังสามารถลดการแตกร้าวของคอนกรีตได้มากกว่าระบบอื่น ซึ่งช่วยให้โครงสร้างปลอดภัยในระยะยาว โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการสั่นสะเทือนหรือการขยายตัวของอาคาร
  • Precast: การใช้งาน Precast ต้องระมัดระวังในการเชื่อมต่อระหว่างแผ่นคอนกรีต หากเชื่อมต่อไม่สมบูรณ์ อาจเกิดการแตกร้าวที่จุดเชื่อมต่อในระยะยาว
  • Conventional (ก่ออิฐ): โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กแบบดั้งเดิม (ก่ออิฐ) อาจเกิดการแตกร้าวหรือทรุดตัวได้ง่ายกว่าหากไม่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง

4. การทนทานต่อสภาพแวดล้อม

  • Post-Tension: โครงสร้าง Post-Tension มีความทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและความชื้นได้ดี เนื่องจากแรงดึงในโครงสร้างช่วยลดการขยายตัวและหดตัวของคอนกรีตในสภาวะที่แตกต่างกัน ทำให้โครงสร้างมีความทนทานและปลอดภัยในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย
  • Precast: ระบบ Precast มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกัน แต่ต้องดูแลจุดเชื่อมต่อให้ดีเพื่อป้องกันการรั่วซึมและการทรุดตัวในระยะยาว
  • Conventional (ก่ออิฐ): โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กแบบดั้งเดิมมีความเสี่ยงต่อการทรุดตัวหรือแตกร้าวเมื่อเจอสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง เช่น ความชื้นและอุณหภูมิสูง

สรุปข้อดีของ Post-Tension ในแง่ความปลอดภัย

  • รับน้ำหนักและแรงดึงได้มากกว่า จึงเหมาะสำหรับอาคารที่ต้องการพื้นที่เปิดโล่งกว้างและรองรับการใช้งานที่หลากหลาย
  • ลดการแตกร้าวของพื้นและผนัง ทำให้มีอายุการใช้งานยาวนานกว่าและมีความทนทานสูง
  • มีความยืดหยุ่นในการออกแบบพื้นที่ และลดการใช้เสาและคาน ทำให้พื้นที่ภายในโปร่งและใช้ประโยชน์ได้เต็มที่
  • ทนทานต่อสภาพแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ทำให้โครงสร้างมีความปลอดภัยในระยะยาว

ระบบ Post-Tension จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับโครงการที่ต้องการความปลอดภัยสูงในระยะยาว และมีความยืดหยุ่นในการออกแบบใช้งาน

การทนไฟและการกันเสียง
เป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาในการเลือกใช้โครงสร้างสำหรับอาคาร โดยเฉพาะสำหรับ The MIXX สุขุมวิท-แพรกษา ซึ่งเป็นโฮมออฟฟิศ

การเปรียบเทียบคุณสมบัติเหล่านี้ระหว่างระบบ Post-Tension, Precast และ Conventional (ก่ออิฐ) มีดังนี้:

1. การทนไฟ

  • Post-Tension: ระบบ Post-Tension มีความทนไฟสูงเพราะเป็นระบบที่ใช้คอนกรีตเป็นองค์ประกอบหลัก ซึ่งคอนกรีตมีคุณสมบัติทนไฟได้ดีมาก นอกจากนี้ เหล็กเส้นที่ถูกดึงด้วยแรงดึงสูงในระบบ Post-Tension ยังถูกห่อหุ้มด้วยคอนกรีต ทำให้ลดความเสี่ยงในการโดนความร้อนโดยตรง ส่งผลให้โครงสร้าง Post-Tension ทนต่อไฟได้ในระยะเวลานาน
  • Precast: โครงสร้าง Precast ที่เป็นแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปสามารถทนไฟได้ดีเช่นเดียวกับ Post-Tension เนื่องจากคอนกรีตเป็นวัสดุที่มีความทนไฟสูง แต่ Precast อาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จุดต่อระหว่างแผ่น หากไม่ได้ติดตั้งและเชื่อมต่ออย่างถูกต้อง
  • Conventional (ก่ออิฐ): ระบบคอนกรีตเสริมเหล็กแบบดั้งเดิม (ก่ออิฐ) มีความทนไฟได้ดีเช่นกันเนื่องจากคอนกรีตมีคุณสมบัติทนไฟ แต่เมื่อใช้วัสดุก่ออิฐร่วมกับเหล็กและไม้ โครงสร้างเหล่านี้อาจมีความเสี่ยงมากขึ้นเมื่อต้องเจอกับไฟ

2. การกันเสียง

  • Post-Tension: ระบบ Post-Tension มีคุณสมบัติ กันเสียงได้ดีมาก เนื่องจากคอนกรีตมีความหนาแน่นสูง ทำให้สามารถลดการสั่นสะเทือนและเสียงรบกวนจากภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ พื้น Post-Tension ที่มีความหนามากกว่าระบบอื่นยังช่วยลดเสียงรบกวนระหว่างชั้นได้ดีกว่า จึงเหมาะสำหรับการใช้งานในโฮมออฟฟิศที่ต้องการความเงียบสงบและความเป็นส่วนตัว
  • Precast: ระบบ Precast สามารถกันเสียงได้ดีในระดับหนึ่ง แต่การเชื่อมต่อระหว่างแผ่น Precast อาจทำให้เกิดช่องว่างหรือจุดที่เสียงสามารถเล็ดลอดได้ หากการติดตั้งไม่สมบูรณ์ เสียงรบกวนระหว่างพื้นที่เชื่อมต่ออาจเกิดขึ้นได้ง่าย
  • Conventional (ก่ออิฐ): ระบบก่ออิฐและคอนกรีตเสริมเหล็กสามารถกันเสียงได้ดีพอสมควร แต่ ประสิทธิภาพในการกันเสียงขึ้นอยู่กับวัสดุ ที่ใช้ร่วม เช่น หากใช้ผนังอิฐร่วมกับปูนอาจกันเสียงได้ดีกว่าผนังบางประเภท แต่ก็ยังไม่สามารถกันเสียงได้ดีเท่ากับระบบ Post-Tension

3. การลดแรงสั่นสะเทือน

  • Post-Tension: พื้น Post-Tension มีความหนาแน่นและความแข็งแรงสูง ทำให้สามารถลดการสั่นสะเทือนได้ดี โดยเฉพาะในอาคารที่มีการใช้งานหลายฟังก์ชัน เช่น สำนักงานหรือสตูดิโอ การลดแรงสั่นสะเทือนนี้ช่วยเพิ่มความสบายในการใช้งานและความทนทานของโครงสร้างในระยะยาว
  • Precast: แม้ว่า Precast จะเป็นแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปที่มีความแข็งแรง แต่จุดต่อระหว่างแผ่นอาจทำให้การกระจายแรงสั่นสะเทือนไม่ทั่วถึง หากไม่มีการเชื่อมต่อที่ดีพอ อาจส่งผลต่อความคงทนของอาคารในระยะยาว
  • Conventional (ก่ออิฐ): ระบบก่ออิฐและคอนกรีตเสริมเหล็กแบบดั้งเดิมสามารถลดแรงสั่นสะเทือนได้พอสมควร แต่ไม่ดีเท่าระบบ Post-Tension ที่มีความแข็งแรงและความหนาของพื้นมากกว่า

สรุปข้อดีของระบบ Post-Tension ในด้านการทนไฟและการกันเสียง

  • การทนไฟ: ระบบ Post-Tension ทนไฟได้ดีมากเนื่องจากการห่อหุ้มเหล็กดึงด้วยคอนกรีต ซึ่งทำให้ความเสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายจากไฟลดลง
  • การกันเสียง: ระบบ Post-Tension กันเสียงได้ดีกว่า Precast และ Conventional เนื่องจากคอนกรีตที่หนาและความหนาแน่นสูง ทำให้เสียงรบกวนจากภายนอกและระหว่างชั้นลดลง
  • การลดแรงสั่นสะเทือน: Post-Tension มีคุณสมบัติลดแรงสั่นสะเทือนได้ดีกว่าระบบอื่น ทำให้โครงสร้างทนทานและเพิ่มความสบายในการใช้งาน

ดังนั้น โครงสร้างแบบ Post-Tension จึงมีข้อได้เปรียบทั้งในเรื่องความปลอดภัยจากไฟ กันเสียง และการลดแรงสั่นสะเทือนที่ดีกว่าระบบโครงสร้าง Precast และ Conventional